ความมหัศจรรย์ของเอ็นไซม์ ตอนที่  2

ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล

เอ็นไซม์ในร่างกายก็เหมือนกับสมุดบัญชีเงินฝาก

ดร. เอ็ดเวิร์ด โฮเวล นักวิจัยระดับหัวกระทิ เริ่มศึกษาเรื่องเอ็นไซม์ในอาหารกับสุขภาพมาตั้งแต่ ปี พศ. 2473 เขียนหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่งในปี พศ. 2528 ชื่อ “ โภชนาการของเอ็นไซม์” ในหนังสือแนะนำว่า ร่างกายเราก็เหมือน “สมุดบัญชีสะสมเอ็นไซม์”  เซลล์ในร่างกายจำนวนนับร้อยล้านล้านเซลล์ทำงานกันตลอดเวลา เพื่อรักษาระดับเอ็นไซม์ให้สมดุลย์ เพื่อระบบต่างๆของร่างกายจะทำงานได้ตามปกติ ดังนั้น เอ็นไซม์ในอาหารที่เรารับประทาน จึงเป็นแหล่งเสริมเพียงแห่งเดียวจากภายนอก เมื่อร่างกายเผชิญกับการติดเชื้อไวรัส การออกกำลังกายที่หนักเกินไป ความเครียด การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อากาศไม่บริสุทธิ์ อารมณ์โมโหโทโส การกินอาหารที่มีแต่ไขมัน เหล่านี้เป็นภาวะที่สูญเสียเอ็นไซม์มาก “ระดับการสะสมในสมุดบัญชีลดลงมาก ร่างกายจะเผชิญกับสภาวะล้มละลาย” วิธีแก้ก็คือ หาเอ็นไซม์ไปเข้าฝากในสมุดให้ทันท่วงที โดยการรับประทานเอ็นไซม์จากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ รวมทั้งจุลินทรีย์ที่ใช้ทำนมเปรี้ยวและยีสต์ โดยเอ็นไซม์เหล่านี้ จะช่วยตั้งแต่การย่อยอาหาร สร้างเสริมกล้ามเนื้อ และเติมเอ็นไซม์ให้ระบบเผาผลาญพลังงานโดยตรง จะทำให้ร่างกายสดชื่นและปฏิบัติงานต่างๆได้ตามปกติ การรับประทานผักและผลไม้สดนั้น ร่างกายจะได้รับเอ็นไซม์ในปริมาณเพียงพอสำหรับย่อยตัวมันเองเท่านั้น ไม่เพียงพอที่เป็น “เอ็นไซม์สำหรับฝากสะสม”

ทำไมเราไม่เคยไดัยินเรื่องเกี่ยวกับเอ็นไซม์มาก่อนเลย

นี่เป็นคำถามของคนส่วนใหญ่ ทั้งนี้เนื่องจาก เรื่องราวของเอ็นไซม์ที่ตีพิมพ์ในหนังสือทั่วไปมีน้อยมาก คงเป็นเพราะผู้มีความรู้ด้านนี้มีไม่มาก ไม่เหมือนกับผู้เชี่ยวชาญด้านวิตามินและเกลือแร่ ที่สามารถหาแหล่งอธิบายว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายได้ไม่ยาก นอกจากสาเหตุที่มีผู้เชี่ยวชาญน้อยแล้ว ข้อมูลที่ได้จากหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร สารคดีต่างๆ ก็ไม่สามารถอธิบายความมหัศจรรย์ของเอ็นไซม์ได้หมด ทั้งๆที่มีการจดบันทึกพลังแห่งเอ็นไซม์บำบัดมานานหลายสิบปีแล้ว

เอ็นไซม์มีผลต่อระบบอื่นๆอย่างไร

ไม่ว่าด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม ท่านควรทำความเข้าใจเสียก่อนว่า เอ็นไซม์ทำงานอย่างไร และทำไมจึงมีความสำคัญนัก ปัจจุบันมีเอ็นไซม์หลายชนิดวางจำหน่าย ที่ตอบสนองต่อเป้าหมายที่ต่างกันไป
มีเอ็นไซม์ที่ใช้ในเชิงอุตสาหกรรม เพื่อใช้เป็นตัวทำความสะอาด โดยมีคุณสมบัติชะล้างน้ำมันโดยเฉพาะ เช่น จารบี อีกกลุ่มคือ เอ็นไซม์เชิงพาณิชย์ขนาดบรรจุใหญ่ ใช้ในการทำขนม ฟอกสีหนัง ใช้ในการหมักข้าวมอล์ตสำหรับทำเบียร์ เป็นต้น
ส่วนเอ็นไซม์ที่เราจะพูดถึงในเอกสารฉบับนี้คือ เอ็นไซม์จากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์รวมทั้งจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดนมเปรี้ยวและยีสต์ ที่ใช้ในเชิงเภสัชกรรมเพื่อโภชนาการ มีความบริสุทธิ์สูง ไม่สลายตัวง่าย และมีความหลากหลายมาก โดยขอแนะนำให้ใช้เอ็นไซม์ในกลุ่มเพื่อโภชนาการนี้เท่านั้น เนื่องจากทั้งตัวจุลินทรีย์และเอ็นไซม์มีความปลอดภัยต่อการปริโภคและไม่มีสารปนเปื้อน ผู้ผลิตบางรายอาจจะมีการเติมสารปลอมปนเข้าไปและจำหน่ายในราคาที่ถูก เราจึงควรเลือกใช้เอ็นไซม์ที่เตรียมมา เพื่อวัตถุประสงค์ช่วยย่อยอาหารจริงๆ และไม่แนะนำเอ็นไซม์ที่ใช้ในการผลิตขนมหรือเบียร์ บางท่านอาจเคยได้ทดลองรับประทานเอ็นไซม์มาแล้ว แต่ไม่ได้ผลหรือมีผลเสียตามมา ทั้งนี้อาจเกิดจากเอ็นไซม์ไม่บริสุทธิ์ นอกจากนี้ เราต้องรับประทานเอ็นไซม์ควบคู่กับสารอาหารอื่น สารอาหารอื่นที่เติมลงไปนั้น อาจไม่ได้สกัดมาจากธรรมชาติ(ซึ่งขัดแย้งกับที่ระบุบนฉลาก) แต่ตามกฏหมายแล้ว อนุญาตให้เราระบุบนฉลากของวิตามินสังเคราะห์ว่า “จากธรรมชาติ”ได้ หากมีส่วนผสมของอาหารจากธรรมชาติอยู่ด้วย ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่ากำลังรับประทานวิตามินและเอ็นไซม์บริสุทธิ์ ความเข้มข้นสูงจากธรรมชาติทั้งหมด แท้ที่จริงแล้วหากเราต้องการรับประทานเช่นนี้จริงๆ ขนาดคงต้องใหญ่ประมาณโต๊ะอาหาร
ปัจจุบันมีเอ็นไซม์เสริมที่สกัดจากพืชวางจำหน่ายทั่วไป มีขนาดความเข้มข้น ส่วนผสม และสารอาหารอื่นประกอบต่างกันไป บางยี่ห้อถึงกับอ้างว่าวิตามินหรืออาหารก็คือเอ็นไซม์ ซึ่งไม่เป็นความจริง

เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเอ็นไซม์ ในร่างกายของเรามีเซลล์จำนวนอย่างน้อย 100 ล้านล้านเซลล์กำลังทำงานอยู่ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบเอ็นไซม์แล้วอย่างน้อย 2,800 ชนิด และประมาณการว่า มีเอ็นไซม์ในร่างกายทั้งหมด 3,000 ชนิด และการสร้างเซลล์หนึ่งเซลล์ ต้องใช้เอ็นไซม์อย่างน้อย 1,300 ชนิด

เอ็นไซม์เป็นสารกลุ่มโปรตีนล้วนๆ ทำงานเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการรวมโมเลกุลต่างๆ เนื่องจากในเซลล์หนึ่งๆ มีสารเคมีต่างกันถึง 100,000 ชนิด สารพันธุกรรมสามารถทำงานได้ก็ด้วยเอ็นไซม์ ดังได้กล่าวไปแล้วว่า เพื่อให้ชีวิตดำเนินไปได้ ต้องใช้เอ็นไซม์อย่างน้อย 2,800 ชนิด และร่างกายสร้างเอ็นไซม์ที่ใช้เผาผลาญจากอาหารที่รับประทาน ดังนั้นหากเราย่อยอาหารได้อย่างสมบูรณ์ ร่างกายก็จะได้รับสารอาหารอย่างแท้จริง สารอาหาร 45 ชนิด (ในปริมาณที่เหมาะสม) ที่ได้จากการรับประทานอาหาร จะถูกนำไปหล่อเลี้ยงเซลล์ ดังนี้

แร่ธาตุต่างๆ 19 ชนิด

วิตามินต่างๆ 13 ชนิด
กรดอะมิโน 9 ชนิด
โปรตีน 1 ชนิด
ไขมัน 1 ชนิด
น้ำ 1 ชนิด
คาร์โบไฮเดรต 1 ชนิด
และเอ็นไซม์อีก 1,300 ชนิด

หนทางการมี พันล้าน (เซลล์เม็ดเลือดแดง)

การจะสร้างสุขภาพให้ดีที่สุด ต้องใช้ปริมาณวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณที่พอเหมาะเท่านั้น เนื่องจากหากได้รับปริมาณบางอย่างมากเกินไปอาจเกิดปัญหาต่อสุขภาพได้ เนื่องจากกลไกถูกควบคุมการขนส่งโดยเอ็นไซม์ ตัวอย่างเช่น ใน 1 วินาที ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง นับพันล้านเซลล์ ขั้นตอนการสร้างเริ่มที่ ต้องมีธาตุเหล็กจับอยู่กับโปรตีน-ฮีม ดังนั้น เราต้องทานอาหารที่มีโปรตีนเหล็ก-ฮีม แต่หากการย่อยโปรตีนไม่ดี ร่างกายก็จะไม่ได้รับสารอาหารที่ต้องการ การย่อยที่ไม่มีประสิทธิภาพจะทำให้เราได้รับเหล็ก-ฮีมเพียง 15 % จากเนื้อสัตว์ และ 3 % จากพืชที่รับประทานเท่านั้น ดังนั้น การปรับปรุงประสิทธิภาพการย่อยจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ได้รับเหล็ก-ฮีมอย่างเพียงพอ เพราะฉะนั้น เอ็นไซม์ย่อยอาหาร จึงช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารได้อย่างเหมาะสม ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้
เซลล์ที่ช่วยดูดซึมสารอาหารเรียกว่า วิลไล จะพบได้บนผนังลำไส้เล็ก หากเรานำวิลไลทั้งหมดมาเรียงต่อกัน จะยาวถึงครึ่งหนึ่งของสนามฟุตบอล เซลล์วิลไลจะผลัดเปลี่ยนทุก 2 วัน แต่เมื่ออายุมากขึ้น ความสามารถในการผลัดเปลี่ยนเซลล์ใหม่จะลดลง จึงทำให้ประสิทธิภาพการดูดซึมลดลงด้วย เมื่อร่างกายเสียสมดุลย์ โดยโรคซีลีแอค เซลล์วิลไลจะม้วนพับไม่สามารถดูดซึมอาหารได้หรือหากอาหารต่างๆ เช่น โปรตีนไม่ถูกย่อย ก็จะทำให้ระบบอุดตันเน่าและก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในที่สุด

จะทราบได้อย่างไรว่าเราขาดเอ็นไซม์อะไร

อาการเด่นชัดของการย่อยอาหารที่ไม่ดีคือ การเรอ มีแก๊ส จุกเสียด วิงเวียน ท้องผูก รู้สึกเมื่อยหลังทานอาหาร แพ้อาหาร อีกวิธีคือ ให้ตรวจดูว่าท่านรับประทานอาหารประเภทใดมากที่สุด รวมถึงคาเฟอีน ช็อกโกแลต น้ำตาลฟอกขาว อาหารปรุงสุก อาหารแปรรูป
ผลของเอ็นไซม์ต่อรูปร่างและน้ำหนัก ท่านควรจะทราบว่า ลักษณะร่างกายแบบของท่านนั้น น่าจะขาดเอ็นไซม์ชนิดใด

เราแบ่งรูปแบบร่างกายเป็น 3 ชนิด แต่ละชนิดจะขาดเอ็นไซม์ต่างกัน พอจะสรุปย่อๆได้ดังนี้

หากน้ำหนักตัวของท่านเพิ่มขึ้น โดยอ้วนขึ้นเสมอกันทุกส่วน สะโพกกลม แสดงว่า ท่านชอบของหวาน เช่น คุกกี้ เค้ก มันฝรั่ง พาสต้า ผลไม้ กาแฟและช็อกโกแลต เรียกว่า กลุ่ม 1(แบบพารา) ขาดเอ็นไซม์อไมเลส
แต่หากน้ำหนักที่เพิ่มไปสะสมที่สะโพกและต้นขา (ไหล่แคบกว่าสะโพก) ชอบอาหารรสจัด เรียกว่า กลุ่ม 2(แบบเอสโตร) แสดงว่าท่านชอบอาหารเฉพาะถิ่น เผ็ดร้อน เค็ม มีรส ส่วนใหญ่มักขาดเอ็นไซม์ไลเปส
ส่วนผู้ที่น้ำหนักเพิ่มเฉพาะส่วนบนของร่างกายตั้งแต่ ท้อง ไหล่ หลัง อก สะโพกเล็ก เรียกว่า กลุ่ม 3(แบบซุปปรา) คุณชอบอาหารโปรตีนสูง เช่นเสต็ก ปลา ไก่ หมู ไข่ กลุ่มนี้ขาดเอ็นไซม์โปรตีเอส
ดังนั้นหากท่านทานอาหารไม่สอดคล้องกับกลุ่มรูปร่าง (ซึ่งเป็นไปตามพันธุกรรม)
ก. ท่านจะไม่ได้รับสารอาหารที่เหมาะสมตามกลุ่มของท่าน
ข. อาหารที่ท่านรับประทานเข้าไป จะไม่เผาผลาญเป็นพลังงานแต่จะสะสมเป็นไขมัน
ค. จะเกิดพิษตกค้างสะสมในเซลล์และเกิดความอ่อยเพลีย
ในบางคนอาจมีรูปร่างร่วมกันมากกว่า 1 แบบ พันธุกรรมได้กำหนดข้อด้อย ข้อเด่น และรูปร่างของเรา นอกจากนี้ จากข้อมูลทางพันธุกรรมและชีวเคมีในช่วงปี พศ. 2483-2492 สามารถยืนยันได้ว่าศักยภาพของเอ็นไซม์ก็ถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมด้วย ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดต่อไป

คืนชีวิตใหม่ให้ระบบย่อยอาหาร

มีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นกับระบบย่อยอาหารของเรา ทำไมเราจึงย่อยอาหารที่เรารับประทานไม่ได้ คำถามเหล่านี้ถูกถามขึ้นเสมอ แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ ที่ว่ากันว่าร่างกายของคนเรา สามารถย่อยและดูดซึมอาหารที่ปรุงสุกแล้วได้ดีกว่าอาหารที่ไม่ถูกความร้อนนั้น เป็นความเชื่อที่วันหนึ่งจะถูกพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องที่ผิด อาหารที่ถูกความร้อนแล้ว จะผ่านระบบการย่อยอาหารของเราช้ากว่าอาหารที่ยังไม่ถูกความร้อน หากอาหารไม่ถูกย่อย จะทำให้อาหารเหล่านั้นบูดเน่า ก่อให้เกิดสารพิษเข้าสู่ร่างกาย มีผลต่อหัวใจ ทำให้ปวดหัว มีปัญหาทางสายตา แพ้ และปัญหาอื่นๆอีกมากมาย
เอ็นไซม์เสริมที่ได้จากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ รวมทั้งจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดนมเปรี้ยวและยีสต์ จะช่วยในการย่อยสลายอาหาร ในภาวะที่เหมาะสมจะเกิดขบวนการย่อยอาหารที่สมบูรณ์คือ
(1) อาหารถูกย่อยอย่างสมบูรณ์
(2) สารอาหารถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด
(3) ของเสียจากขบวนการย่อยอาหารถูกกำจัดออกจากร่างกาย
นอกจากนี้เอ็นไซม์ที่ได้จากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ รวมทั้งจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดนมเปรี้ยวและยีสต์นั้น มีประโยชน์มากกว่าเอ็นไซม์ที่ได้จากสัตว์หรือพืช เนื่องจาก เอ็นไซม์จากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ รวมทั้งจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดนมเปรี้ยวและยีสต์ จะสามารถทำงานได้ทันทีเมื่อเข้าสู่ระบบย่อยอาหาร  ขณะที่อาหารยังอยู่ส่วนบนของกระเพาะอาหาร เอ็นไซม์ก็เริ่มทำงานแล้ว บางครั้งเอ็นไซม์เริ่มทำงานตั้งแต่อยู่ในช่องปาก และ หลอดอาหารด้วยซ้ำไป
เอ็นไซม์ย่อยสลายโปรตีนที่ได้จากผลมะละกอดิบ และจากต้นสัปปะรดนั้น ไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ เนื่องจากเอ็นไซม์ดังกล่าวต้องการสภาวะกรด-ด่าง(pH)ในการทำงาน ที่ต่างจากระบบย่อยอาหารในร่างกายของมนุษย์ แต่เอ็นไซม์ที่ได้จากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ รวมทั้งจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดนมเปรี้ยวและยีสต์นั้นจะมีประสิทธิภาพสูงในร่างกายมนุษย์ สามารถย่อยสลายไขมัน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีนได้ เอ็นไซม์จากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์รวมทั้งจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดนมเปรี้ยวและยีสต์นั้น มีประโยชน์ถึงสองด้านคือ ช่วยป้องกันของเสียเข้าสู่ร่างกายและไม่ให้ถูกนำเข้าไปสะสมในเซลล์ของเรา นอกจากนี้ ยังทำความสะอาดเซลล์ของเรา โดยกำจัดของเสียที่เคยมีอยู่เดิมออกไป
ประสิทธิภาพของระบบย่อยอาหารของท่าน ขึ้นอยู่กับความสามารถของกระเพาะอาหารในการเริ่มขบวนการย่อยสลาย การที่จะมีสุขภาพที่ดีนั้นระบบย่อยอาหารของท่าน ต้องสามารถดูดซึมและแจกจ่ายออกไปได้ทั่วร่างกาย ส่วนของเสียก็ถูกกำจัดออกทางลำไส้ ขบวนการเหล่านี้ เกิดขึ้นโดยเราไม่รู้สึกตัว เรารู้ว่าคาร์โบไฮเดรตสามารถเกิดการหมักและเน่า ไขมันเกิดการเหม็นหืน โปรตีนเกิดการเน่าเสีย สิ่งเหล่านี้เกิดจากการย่อยอาหารที่ไม่สมบูรณ์
ปัญหาใหญ่ของอาหารที่ไม่ถูกย่อยสลายคือ อาหารที่ถูกย่อยสลายไม่สมบูรณ์ จะถูกส่งไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย และสะสมเป็นของเสีย ทำให้เกิดปัญหาไขมันสูง มีแคลเซียมไปเกาะตามส่วนต่างๆ โรคไขข้อ มีเซลลูไลท์เกิดขึ้น ไขมันอุดตันในเส้นเลือด เป็นต้น

เอ็นไซม์ช่วยย่อยจากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ รวมทั้งจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดนมเปรี้ยวและยีสต์ ทำอะไรบ้าง

เอ็นไซม์โปรตีเอส : ย่อยสลายโปรตีน

เอ็นไซม์ไลเปส : ย่อยสลายไขมัน

เอ็นไซม์ อะไมเลส : ย่อยสลายคาร์โบไอเดรตและแป้ง

เอ็นไซม์เซลลูเลส : ย่อยสลายไฟเบอร์

เอ็นไซม์แลคเตส : ย่อยสลายน้ำตาลในนม

เอ็นไซม์มอลเตส : ย่อยสลายน้ำตาลในมอลต์ (ข้าวบาร์เลย์คั่ว)

เอ็นไซม์ซูเครส : ย่อยสลายน้ำตาลซูโครส (น้ำตาลทราย)
เนื่องจากร่างกายคนเราไม่สามารถผลิตเอ็นไซม์เซลลูเลสได้เอง เราจึงต้องรับประทานเข้าไป เอ็นไซม์นี้จะย่อยไฟเบอร์ให้เป็น เซลลูโลส กลูโคส และกรดไขมันสายสั้นๆ
ปัจจุบันมีผู้เป็นโรคแพ้อาหารเพิ่มขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อมีพืชตัดแต่งพันธุกรรมเข้ามา ดังนั้น เราจึงต้องรับประทานเอ็นไซม์พร้อมกับอาหาร

ถุงน้ำดี

อาการเรอ สะอึก อึดอัดบริเวณหน้าอก หายใจลำบาก ท้องเสีย มีแก๊สในลำไส้ กรดไหลย้อน หายใจถี่ ปวดหัว และท้องผูก อาการเหล่านี้เป็นผลมาจากการทำงานหนักของถุงน้ำดี เนื่องจากอาหารไม่ย่อย ปัญหาของถุงน้ำดีเกิดจากความสามารถในการย่อยสลายไขมันลดลงและสภาวะกรดด่าง (pH) ของระบบย่อยอาหารเป็นกรดหรือด่างมากเกินไป ถ้าคุณมีอาการดังต่อไปนี้ แสดงว่า ถุงน้ำดีของท่านมีปัญหา
การอาเจียนหรือท้องเสียหลังจากรับประทานอาหารในทันที หรือไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ปวดหัวก่อนหรือหลังรับประทานอาหาร อาเจียนลดลงหลังจากได้รับประทานอาหารหรือมีการบีบตัวของลำไส้ สะอึกและเรออ่อน เพลียหลังรับประทานอาหาร อาหารไม่ย่อย ท้องเสียสลับท้องผูก ปวดบริเวณท้องด้านบนขวา อักเสบหรือกดแล้วเจ็บบริเวณชายโครง ล้วนแล้วแต่เป็นอาการผิดปกติของถุงน้ำดีทำงานหนัก เนื่องจาก สุขนิสัยที่ไม่ดีในการรับประทานอาหาร เมื่อรับประทานอาหารที่มีความเป็นด่างมากเกินไป ถุงน้ำดีต้องผลิตน้ำดีมากขึ้น ทำให้เกิดการบีบรัดของลำไส้ เราจึงรู้สึกอยากอาเจียนและท้องเสีย อาหารที่มีความเป็นด่างมากได้แก่ ผลไม้ ผัก น้ำผลไม้ ถั่ว และเมล็ดธัญพืชต่างๆ นอกจากนี้ อาหารที่มีไขมันมาก ไอศกรีม ของหวาน อาหารเม๊กซิกัน อาหารอิตาเลียน อาหารจีน และช็อกโกแลต ล้วนแล้วแต่มีผลต่อการทำงานของถุงน้ำดีเช่นกัน

ถุงน้ำดีมีความสัมพันธ์กับลักษณะของร่างกาย

ร่างกายแบบที่ 1 ถุงน้ำดีทำงานหนัก เมื่อร่างกายรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่เป็นด่างมากเกินไป
ร่างกายแบบที่ 2 ถุงน้ำดีทำงานหนัก เนื่องจากย่อยสลายไขมันได้ไม่ดี ดังนั้น ถ้ารับประทานอาหารที่มีโปรตีนต่ำ แต่คาร์โบไฮเดรตสูง น้ำดีจะถูกสร้างน้อย ถุงน้ำดีไม่สามารถหลั่งน้ำดีได้และตับไม่ถูกกระตุ้นให้สร้างน้ำดีในปริมาณที่พอเหมาะ ไขมันจึงไม่ถูกย่อยสลาย เอ็นไซม์ที่ใช้ในขบวนการเผาผลาญพลังงานไม่สามารถทำงานได้ ดังนั้น ขบวนการย่อยสลายไขมันเกิดได้ไม่สมบูรณ์ ไขมันที่ไม่ย่อยจะรวมกับเหลกและแคลเซียมในอาหารมีสภาพเป็นสบู่ที่ไม่ละลายน้ำ ทำให้ลำไส้ดูดซึมเกลือแร่ต่างๆเข้าสู่กระแสเลือดไม่ได้ เป็นสาเหตุอย่างหนึ่งของโลหิตจางและยังทำให้เกิดโรคกระดูกบาง นอกจากนั้น การขาดน้ำดี ทำให้การดูดซึมแคโรทีน วิตามิน เอ ดี เค และกรดไขมันที่จำเป็นลดลง นำไปสู่ภาวะทุพโภชนาการ ทำให้ต้องเข้าใจว่าการรับประทานอาหารที่ดีนั้นไม่เพียงพอ ถ้าอาหารเหล่านี้ถูกย่อยสลายไม่สมบูรณ์หรือไม่เหมาะสมกับชนิดของร่างกายท่าน สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดปัญหามากมาย หนึ่งในปัญหาที่สำคัญคือ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของท่าน ทำงานได้ไม่ดีพอ ดังนั้น การใช้เอ็นไซม์เสริมการย่อยอาหาร จะทำให้ระบบการย่อยอาหารนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น