20171118_172441
IMG_25601117_081147_1
IMG_25601117_081151
20171118_172420
20171118_163058
20171117_213549
20171117_213532
IMG_25601118_162019
IMG_25601118_162033
20171117_185204
20171118_055204
ดูที่ซองเครื่องดื่มเห้ดสิครับ เขาเน้นที่เบต้ากลูแคนเป็นสำคัญเลยครับ

ทีแรก ผมตั้งใจว่า ผมจะค่อยๆทยอยเขียนเรื่องกลยุทธ์ในวงการเห็ดของโลกให้ฟังทีละน้อยๆ เพราะผมมีงานอื่นที่จะทำเยอะแยะ ยิ่งวันนี้ ผมมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริษัท HOKTO ผู้ผลิตเห็ดเป็นยารายใหญ่ของญี่ปุ่นมาพบ แต่ก็มีสมาชิกหลายท่านบอกว่า นั่งรอ นอนรอ ตอนต่อไปของผมอยู่ แล้วก็มีผู้จัดทำชมรมผู้เพาะเห็ดแห่งประเทศไทย ที่เป็นแฟนประจำในเฟสผม ก็คงเห็นว่า บทความที่ผมเขียนนั้นเป็นประโยชน์ต่อสังคม ก็ขอให้ผมเอาบทความของผมไปลงที่นั่นด้วย โดยผมก็มีข้อต่อรองว่า ก่อนที่จะให้ผมเอาบทความผมไปลงนั้น ต้องบอกให้สมาชิกเข้าใจว่า เวลผมเขียนบทความนั้น ผมจะเขียนยาว(เกินมาตรฐานที่คนไทยจะอ่าน เพราะเขาบอกและดูถูกคนไทยว่า ชอบอ่านหนังสือที่ยาวไม่เกิน 8 บรรทัดเท่านั้น แล้วก็เป็นจริงอย่างนั้นจริงๆ ที่ยังมีคนไทยอยู่ในมาตรฐานนั้น เพราะเมื่อเร็วๆนี้ มีกลุ่มต่างแดนโวยวายมาว่า ไม่อยากอ่าน เพราะมันยาว 5555)

วันนี้ผมเลยจะมาโซ้ยต่อเรื่องที่หลายท่านสนใจว่า พอทางไต้หวันเห็นท่าไม่ดี ที่หลงผิด คิดเอาแต่ว่า จะต้องเป็นหนึ่งของโลกให้จงได้ จึงเร่งปลุกระดมให้คนไต้หวัน หันมาเพาะเห็ดช่วยชาติกันเป็นการใหญ่(เหมือนกับโครงการบ้านเราเมื่อไม่นานเปี๊ยบเลย ที่เอาเงินไปแจกให้ทุกหย่อมหญ้าทั่วประเทศให้เพาะเห็ดกันทั้งประเทศให้ได้ ภายในหนึ่งเดือน) และก็ได้ผลจริงๆ ทำให้คนไต้หวันทั่วทั้งประเทศ หันมาเพาะเห็ดกันแบบเอาเป็นเอาตาย ผลสุดท้ายแค่เวลาไม่ถึงสิบปี ในปี 2515 ไต้หวันกลายเป็นประเทศเล็กแต่เพาะเห้ดกระดุมและส่งออกเห็ดกระดุมมากที่สุดในโลก แต่พอปัญหาเรื่อง การสะสมเชื้อโรคระบาด มีการใช้สารเคมีที่เป็นพิษ มีการปนเปื้อนเรื่องโลหะหนักตกค้าง

ขณะที่ข้างบ้าน คือ เกษตรกรบนผืนแผ่นดินใหญ่ เห็นไต้หวันทำสำเร็จ ก็อยากจะเอากะเขาบ้าง เป็นการสบโอกาสของไต้หวัน หันมาสนับสนุนให้เกษตรกรบนผืนแผ่นดินใหญ่เพาะเห็ดกระดุมแข่งและทดแทนไต้หวัน ได้ผลดีแฮะ เพราะแค่จ้างผู้เชี่ยวชาญนั่งเรือไม่กี่นาทีข้ามมาก็มาสอนได้แล้ว ทำให้แผ่นดินใหญ่ ที่มีพื้นที่มากกว่า คนเยอะกว่า ใช้เวลาแค่สองปี มีคนหลงเข้าในวังวนนี้ นับล้านครอบครัว กลายเป็นบ้าน เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยโรงเพาะเห็ดผุดขึ้นแทบทุกตารางนิ้วของจังหวัดฟู๋เจี่ยน และตรงนี้ กลายเป็นแหล่งผลิตเห็ดกระดุมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และตรงนี้ จากจีนที่ไม่เคยมีตัวเลขการส่งออกเห็ดกระดุมเลยในปี คศ. 2000 แต่ปี คศ. 2010 แค่สิบปีให้หลังเท่านั้น จีนสามารถผลิตเห็ดกระดุมได้มากถึงเกือบ 20 ล้านตัน ขณะที่โลกทั้งโลก ผลิตเห็ดทุกชนิดรวมกันได้ไม่ถึง 8 ล้านตัน

แล้วถามว่า อย่างนี้ ถือว่า ประสพผลสำเร็จไหม คำตอบก็คือ หากมองถึงตัวเลข ถือว่า ประสพผลสำเร็จดีมาก แต่หากถามว่า มันสร้างความอยู่ดีกินดีให้ชาวบ้านหรือเกษตรกรผู้เพาะเห็ดไหม คำตอบก็คือ ไม่ แถมทุกวัน นั่งดู เดินดู เดินผ่านโรงเพาะเห็ดด้วยความตรอมตรม เจ็บปวดรวดร้าว ครั้นจะแหกปากไปกล่าวหาใครว่า วางยา หรือโยนขี้มาให้ก็พูดไม่ได้ เพราะมันเสียเหลี่ยม เสียฟอร์ม เพราะตัวเองด้อยปัญญาเอง(ด้อยปัญญา = โง่) ที่ไปเชิญเขามาสอน ไปลอกเอาเทคโนโลยี่ที่ดูผิวเผินแค่ว่า มันง่ายดี แล้วรีบเอามาทำ นี่คือ ปัญหาอันใหญ่หลวงของรัฐบาลจีนที่กำลังเข้ามาแก้ เพราะนี่มันเป็นเรื่องกระทบกับชีวิตคนเป็นล้านๆครอบครัว แล้วจีนจะทำอย่างไร้ แก้เผ็ดการวางยาอย่างไร ในอนาคตของเห็ดของจีนจะเป็นอย่างไรนั้น เดี๋ยวว่างๆ ผมก็จะมาพูดให้ฟัง และรับรองว่า มันแน่ๆ เพราะกลยุทธ์ที่จีนทำ มันเหนือชั้นกว่า ยั่งยืนกว่า โดยรัฐบาลจีนเข้ามาแก้วิกฤติเรื่องนี้ ให้เป็นวาระแห่งชาติที่สำคัญ และนี่แหละครับ ที่ผมได้รับเชิญให้ไปช่วยเขาแก้ครับ

ทีนี้ในส่วนของไต้หวันนั้น ดั่งที่ผมจั่วหัวเอาไว้ว่า หลังจากไต้หวันพบว่า การรณรงค์ให้คนทั้งชาติหันมาเพาะเห็ดกันเป็นการใหญ่ เพื่อทำให้เป็นสินค้าส่งออกนั้น มันเสี่ยงสูงมาก เพราะหลังจากที่เวลาเห็ดมีปัญหาเรื่อง โรคและแมลง มีการใช้ยาฆ่าแมลงกับเห็ดกันเยอะมาก พอนำเห็ดไปแปรรูป เห็ดก็จะมีสารพิษติดไปด้วย ผลสุดท้าย ก็ไม่สามารถส่งเห็ดไปขายที่ไหนในโลกได้เลย(ยกเว้นประเทศไทย ยังยินดีต้อนรับ ขอให้ถูกๆก็กินกันทั้งนั้น ผลสุดท้าย โรงพยาบาลรวย) ด้วยเหตุนี้ ไต้หวัน รู้ดีว่า เห็ดนั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่อาหารที่มีรสชาติดีเท่านั้น มันยังมีสรรพคุณทั้งสรรพคุณทางด้านโภชนาการและทางยาสูง ไต้หวัน จึงหันมาทำการเพาะเห็ดแบบปลอดสารแทน แล้วนำเอาเห็ดปลอดสารนี้ มาทำเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ และพัฒนาเห็ดเป็นยากันอย่างจริงจัง

โดยทั้งภาครัฐและเอกชน ช่วยกันศึกษาทดลองและวิจัยด้วยเทคโนโลยีล้ำยุค แล้วก็ส่งนักจารกรรมเพื่อชาติ เป็นการจารกรรมที่ถูกต้องตามกฏหมายไปยังทุกมุมโลก ที่เห็นว่า เป็นแหล่งสำคัญของข้อมูลหรือปัจจัยที่สำคัญ เช่น ที่ศูนย์วิจัยเก็บรวบรวมพันธุ์ที่รัฐแมรรีแลนด์ ซึ่งเป็นแหล่งเก็บรวบรวมสายพันธุ์เห็ดและจุลินทรีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก จะเห็นว่า ผู้บริหารระดับวิชาการส่วนใหญ่มาจากไต้หวันและเกาหลี ยิ่งพอทางยุโรปและอเมริกาประกาศว่า ตั้งแต่ปี คศ.2006 เป็นต้นไป ตลาดร่วมยุโรปและอเมริกา จะห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์จากปศุสัตว์ที่ใช้ยาปฏิชีวนะ ตรงนี้ครับ ที่เข้าทางของไต้หวัน แทนที่ไต้หวัน จะมุ่งพัฒนาเรื่องเห้ด เป็นเป็นอาหารสุขภาพและยาสำหรับคนเพียงอย่างเดียว แต่ไต้หวัน กลับไปมุ่งมั่นพัฒนา เอาเห็ดทั้งหลายทั้งมวล ที่ล้วนแล้วแต่มีสารเบต้ากลูแคน ที่ช่วยเสริมภูมิ เอามาทำเป็นอาหารและยาสำหรับสัตว์ กลายเป็นรายใหญ่ที่สุดของโลก แม้บริษัทยักษ์ใหญ่ ในด้านอาหารสัตว์ของไทย ก็ยังเป็นลูกค้ารายสำคัญของไต้หวัน

รายได้ของประเทศจากเห็ดของไต้หวันกลับสูงกว่า เมื่อครั้งส่งเสริมให้คนเป็นล้านเพาะเห็ดให้ได้ปริมาณส่งออกมากที่สุดในโลก ขณะที่ปัจจุบันตัวเลขการผลิตเห็ดไต้หวันถือว่า น้อยมาก แต่มูลค่ามันมหาศาลครับ ผมได้นัดกับศาสตราจารย์ด้านเห็ด และนักธุรกิจชั้นนำเกี่ยวกับเห็ดของไต้หวันไว้ว่า หากผมมีเวลา ผมจะไปนั่งคุยเขาที่นั่นเร็วๆนี้ แล้วจะเอาข้อมูลเชิงลึกมาฝาก เอาเป็นว่า บทความวันนี้ สรุปได้ว่า ไต้หวันผลิตเห็ดลงลงอย่างมาก เหลือเพียงไม่ถึง 5% ของผลผลิตในอดีต แต่มูลค่าที่ได้จากเห็ด ที่เอามาแปรรูปเป็นอาหารสุขภาพและยานั้น มีมูลค่าสูงกว่าหลายร้อยหลายพันเท่าครับ แล้วถามว่า แล้วเราล่ะ จะทำได้ไหม คำตอบก็คือ ได้ แต่ใช้เวลาอีกไม่นาน หากเราเปิดใจกว้างที่จะทำการพัฒนาไปแนวทางที่ถูกต้อง โดยทุกฝ่ายต้องลดอัตตาลง เพื่อความยั่งยืนในอนาคตครับ

หมายเหตุ ดูที่ซองเครื่องดื่มเห้ดสิครับ เขาเน้นที่เบต้ากลูแคนเป็นสำคัญเลยครับ

ใส่ความเห็น