ทีแรกผมไม่เชื่อว่า หน่อไม้ฝรั่ง ที่บ้านเราคิดว่า มันก็คือ แค่ผักสดที่ทางยุโรปเขากินกันธรรมดาๆทั่วไป จะมีสรรพคุณทางยาอย่างเหลือเชื่อ แต่พอผมไปทำงานอยู่แถวประเทศที่ติดอยู่กับเทือกเขาหิมาลัย ไม่ว่าจะเป็นภูฎาน เนปาล อินเดียและบังคลาเทศ ผมได้ไปเจอ ไปเห็น คนแถวนั้น เขาใ้หน่อไม้ฝรั่งเป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับการอักเสบเรื้อรังทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นโรคไต ไทยรอยด์อักเสบ เบาหวานและมะเร็ง ที่สาเหตุของโรคก็เพราะเกิดการอักเสบ เขาจึงรักษาต้นเหตุของปัญหา คือ รักษาการอักเสบ อันเป็นสาเหตุของโรคดังกล่าว

แต่นั่นก็เหมือน มันเป็นความเชื่อของหมอพื้นบ้าน ที่ผมยังไม่สามารถหาคำตอบทางวิทยาศาสตร์เข้ามาเสริมทำความเข้าใจ พอผมไปสอนอยู่ทางทวีปแอฟริกาใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศแอฟริกาใต้ ที่ได้รับอิทธิพลของการพัฒนาประเทศจากคนผิวขาวที่มาจากยุโรป เช่น อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ เป็นส่วนใหญ่ ผมได้เจอเกษตรกรผู้ปลูกหน่อไม้ฝรั่งที่มีพื้นที่เป็นร้อยๆไร่ ทั้งในเขตหนาวและเขตร้อน และผมได้เจอกับนักโภชนาการ รวมทั้งคุณหมอที่สนใจเกี่ยวกับอาหารเป็นยา จึงได้ทราบว่า หน่อไม้ฝรั่งที่เราคิดว่า มันเป็นผักทั่วไปธรรมดาๆนั้น มันมีสรรพคุณทางยาอย่างเหลือเชื่อ โดยมีการศึกษาถึงคุณสมบัติทางยาทางวิทยาศาสตร์ว่า มันมีสารสำคัญอะไรบ้าง ก็พบว่า หน่อไม้ฝรั่ง มีสารที่มีคุณสมบัติทางยาที่สำคัญหลายชนิดอันได้แก่

สารซาโปนิน(saponins) สารอินนูลิน(Inulin) สารแอสปาราจีน(Asparagins) นอกจากนี้ ยังมีวิตามินและเกลือแร่ที่โดดเด่นและมีประโยชน์ต่อร่างกายอันได้แก่ วิตามิน บี6(vitamin B6) ธาตุแคลเซียม แมกนีเซียมและสังกะสี (calcium, magnesium, and zinc) และเป็นอาหารเยื่อใยที่ดีที่สุด(very good source of dietary fibre) โปรตีนย่อยง่าย(protein) เบต้าแคโรทีน(beta-carotene) วิตามินซี วิตามินอีและวิตามินเค(vitamin C, vitamin E, vitamin K) และอื่นๆอีกเช่น thiamin, riboflavin, rutin, niacin, folic acid, iron, phosphorus, potassium, copper, manganese, and selenium รวมไปถึง chromium

ซึ่งแร่ธาตุต่างๆทั้งหลายรวมกันจะช่วยในการสร้างน้ำย่อยอินซูลิน ที่มีประสิทธิภาพในการนำเอาน้ำกลูโคสในกระแสเลือดเอาไปใช้เป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้ดีขึ้น ซึ่งเหมาะและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน (a trace mineral that enhances the ability of insulin to transport glucose from the bloodstream into cells).
นอกจากนี้ หน่อไม้ฝรั่งยังมีสาร asparagusic acid ที่มีประโยชน์ ที่จะถูกร่างกายนำเอาไปใช้ได้เร็วและย่อยสลายแตกตัวออกมาเป็นกรดอะมิโน ที่เป็นส่วนสำคัญของโปรตีนที่มีธาตุกำมะถันอยู่ที่เรียกว่า sulfur-containing compounds ที่บางคน(เป็นส่วนใหญ่) จะรับรู้ได้จากปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นฉุน โปรดอย่าตกใจ ซึ่งเป็นลักษณะปกติของบุคคลทั่วไปที่ทานหน่อไม้ฝรั่งเข้าไป แม้เพียง 15-20 นาที เวลาปัสสาวะออกมาจะมีกลิ่นดังกล่าว

จากการที่หน่อไม้ฝรั่งมีทั้งสารที่มีสรรพคุณทางยา วิตามิน เกลือแร่ที่มีประโยชน์ ทำให้หน่อไม้ฝรั่ง จึงมีสรรพคุณในการป้องกันรักษาโรคต่างๆดังนี้

ต่อต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ(Anti-Inflammatory and Anti-Oxidant Benefits of Asparagus)
เนื่องด้วยหน่อไม้ฝรั่งมีสารซาโปนิน แอสปาราจีน เอ ซึ่งสารต่างๆดังกล่าวเหล่านี้ ร่วมกันทำงาน เพื่อต่อต้านอาการอักเสบในร่างกาย โดยอาการอักเสบนี้ เป็นสาเหตุหลักของผู้ป่วยเป็นโรคไต ไทรอยด์อักเสบ เบาหวาน เก๊าท์ มะเร็ง เป็นต้น



หน่อไม้ฝรั่ง มีสารที่สำคัญหลายชนิดที่ช่วยทำให้การทำงานของเชื้อโปรไบโอติกมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น(Digestive Support Provided by Asparagus)

เนื่องจากหน่อไม้ฝรั่งมีสารที่มีประโยชน์มากมาย ซึ่งสารต่างๆเหล่านี้ จะไปช่วยกระตุ้นการทำงานของเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกาย หรือที่เรียกว่า โปรไบโอติก(Probiotics) ทำให้การย่อยอาหารต่างๆที่อยู่ในรูปโมเลกุลที่ใหญ่ ให้อยู่ในรูปที่ร่างกายนำเอาไปใช้ได้ง่ายขึ้น

หน่อไม้ฝรั่ง เป็นสุดยอดอาหารและยาบำรุงหัวใจและการนำเอาน้ำตาลในเลือดเอาไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ(Heart Health and Blood Sugar Regulation Benefits of Asparagus)
ด้วยเพราะหน่อไม้ฝรั่งมีวิตามินที่มีประโยชน์อยู่มาก ที่ร่างกายต้องการ โดยกลุ่มวิตามินและเกลือแร่เหล่านี้ จะไปช่วยบำรุงหัวใจให้ทำงานเป็นปกติ และทำให้ร่างกายนำเอาน้ำตาลในเลือดเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับท่านที่เป็นโรคหัวใจและเบาหวาน

ใช่เลยครับ หน่อไม้ฝรั่งช่วยในการป้องกันและรักษามะเร็งได้เป็นอย่างดี(Anti-Cancer Benefits of Asparagus)
เนื่องด้วยหน่อไม้ฝรั่งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต่อต้านอนุมูลอิสระ มันจึงเป็นอาหารที่เหมาะที่สุดสำหรับผู้ที่กลัวจะเป็นโรคมะเร็ง คือ เป็นการป้องกันไว้ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่มีญาติพี่น้องในสายกรรมพันธุ์ที่มีสมาชิกบางท่านเป็นมะเร็ง ท่านก็จะมีโอกาสเป็นมะเร็งได้ หรือท่านที่เป็นมะเร็งอยู่แล้ว หน่อไม้ฝรั่ง จึงเป็นอาหารที่ควรแนะนำให้ทานหน่อไม้ฝรั่งควบคู่กับการดูแลรักษาสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ป่วยมะเร็งในเม็ดเลือดขาว

หน่อไม้ฝรั่งพันธุ์สีม่วงมีสารอาหารทั้งทางโภชนาการและทางยาสูงกว่าหน่อไม้ฝรั่งพันธุ์สีเขียว
ประเทศอิตาลี ถือว่า เป็นประเทศแรก ที่ได้ทำการพัฒนาหน่อไม้ฝรั่งพันธุ์สีม่วงขึ้น และพบว่า มีรสชาติและความอ่อน กรอบดีกว่าพันธุ์สีเขียว ที่สำคัญ มีสรรพคุณทั้งทางอาหารและยาสูงกว่าหน่อไม้ฝรั่งสีเขียว ขณะนี้ หน่อไม้พันธุ์สีม่วงได้รับการปรับปรุงพันธุ์และขยายการปลูกอย่างรวดเร็วไปทั่วโลก ทางสถาบันอานนท์ไบโอเทค ก็กำลังขยายหน่อไม้ฝรั่งสายพันธุ์นี้อยู่เป็นหลักเช่นกัน

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.triathlete.com/2013/05/nutrition/nutrition-benefits-of-purple-and-white-asparagus_76751#dGuxst694Qpl8zhC.99

Similar Posts