บันทึกเห็ดเป็นยา อดีตนายก สมัคร สุนทรเวช

บทความโดย ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล

เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2552 มีนายทหารท่านหนึ่งยศนายพลแล้ว ท่านมาขอซื้อก้อนเชื้อเห็ดนางรม เห็ดนางฟ้าภูฎานประมาณ 500 ก้อน เพื่อนำเอาไปช่วยเหลือเหยื่อพายุนากิส ที่ประเทศพม่า ซึ่งนานยทหารดังกล่าว มาช่วงที่พนักงานหยุดพักเที่ยงทานอาหาร เผอิญว่าเจอผมพอดี ท่านบอกว่า เคยอบรมเห็ดกับผมเมื่อปี 2519 ตอนนี้เป็นหัวหน้าฝ่ายนำความช่วยเหลือของไทยไปช่วยพม่าที่ประสพปัญหาโดนพายุ เราได้สนทนาปราศรัยกันพอสมควร ในฐานะที่เคยเป็นลูกศิษย์มานานแล้ว ท่านก็ถามผมว่า อาจารย์ทำอะไรอยู่ในแพ ก็บอกว่า ทำการเพาะเห็ดเป็นยาเพื่อส่งไปขายยังต่างประเทศ เพราะต่างประเทศเขาเอาเห็ดหลายชนิดไปผสมเป็นยา โดยเฉพาะยารักษาโรคมะเร็ง นายทหารคนดังกล่าวดูเหมือนจะสนในมากยิ่งขึ้น ผมก็โดนรุกด้วยคำถามสารพัดทันที ก็ได้เอ่ยว่า มีเห็ดหลายชนิดที่กำลังดังมาก ที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง เช่น เห็ดกระดุมบราซิล เห็ดกระถินพิมาน เห็ดไม๊ตาเก๊ะ เห็ดฮุนชิ

พอผมสาถยายไปสักพัก นายทหารคนดังกล่าวขัดจังหวะทันทีว่า เอาล่ะอาจารย์ อย่าเล่าต่อเลย เพราะผมเคารพและเชื่ออาจารย์ ติดตามผลงานอาจารย์มาตั้งนานแล้ว แต่ปัญหาเฉพาะหน้าขณะนี้ คือ เจ้านายของผม(หมายถึงของนายทหาร)กำลังป่วยหนัก หมอไม่รับรักษาแล้ว และอนุญาตให้ญาตินำกลับบ้านมาใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายแล้ว ทุกคนที่บ้านไม่เป็นอันหลับอันนอน กังวลและทุกข์ทรมาณใจเหลือเกิน อยากให้ผมช่วย ผมก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงว่า ได้สิ แล้วผู้ป่วยอยู่ไหนล่ะ ชื่อ อะไรล่ะ ท่านก็รีบตอบทันทีว่าชื่อ สมัคร สุนทรเวช เท่านั้นแหละ ผมตอบสวนทันทีว่า เป็นไปไม่ได้ ผมไม่กล้าพอ ผมไม่อาจหาญพอ ผมไม่ใช่หมอ ที่สำคัญ ผมไม่รู้จักท่านเป็นส่วนตัว ผมจึงรีบปฎิเสธทันที แต่ท่านก็เซ้าซี้ว่า ไม่ได้น๊ะอาจารย์ ๆต้องช่วยชีวิตท่าน เอาล่ะสิ ยุ่งแล้วสิ แล้วผมเป็นอาจารย์เห็ด ซึ่งเป็นแค่พืชชั้นต่ำ ประดาคนชั้นสูง คนมีอันจะกิน คนที่มีการศึกษาสูง เขาคงไม่สนใจหรอก ที่สำคัญท่านสมัคร เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี แล้วไปทำการรักษามาจากโรงพยาบาลชั้นนำของอเมริกา และชั้นนำของไทย แล้วผมจะไปเสนอหน้าอะไรที่จะไปรักาษาท่านได้ ยิ่งท่านทานอะไรก็ไม่ได้ เลือดก็ออกตามตับ ลิ้นก็ไม่รู้รสรู้ชาติอะไรแล้ว
ผมจึงตัดสินใจส่งแฟกส์ไปแนะนำตัวผมไป วันที่ส่งแฟกซ์ คือ วันเสาร์ที่ 23 พ.ค. 2552 เวลา 8.30 น. พอตกบ่ายของวันเดียวกัน คุณรวิพร ที่ดูแลร้านของอานนท์ไบโอเทคติดต่อมาบอกว่า ท่านอดีตนายกโทรมาหาตั้งหลายครั้งแล้วทำไมไม่รับสาย (ที่ไม่รับ เพราะมัวแต่ทำข้าวฟ่างอยู่ โดยปกติจะไม่รับโทร.อยู่แล้ว) พอรู้ว่า ท่านอดีตนายกโทรมา จึงรีบโทรกลับไปหาท่าน แล้วท่านก็เป็นคนรับสายเอง ซึ่งเสียงของท่านดูเหนื่อยมาก เลยไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่เรียนท่านว่า ขอให้ท่านส่งใครมาเอาเห็ดด่วนเลย คุณหญิงสุรัตน์ ภริยาคู่ชีวิตของท่านน่าจะอยู่ใกล้ๆกับท่าน บอกว่า คุณหญิงจะมารับเอง โดยจะมาเอาที่อานนท์ไบโอเทคเลยวันพรุ่งนี้เวลาสามโมงเช้า(แต่ ดร.อานนท์ไม่ได้ยินคำว่าเช้า และไม่ได้คิดว่าสามโมง(ที่ไม่ได้ยินคำว่าเช้า หมายความว่า 9 โมงเช้า) ท่านนายกสมัคร ก็บอกคุณหญิงว่า อย่าไปพรุ่งนี้ เพราะเป็นวันอาทิตย์ มันจะรบกวน ดร.อานนท์ในวันหยุด ดร.อานนท์ ก็บอกว่า สำหรับท่านแล้ว มาได้ตลอด 24 ชม. หรือจะเอาไปให้ก็ได้ ดูท่านจะเกรงใจมาก ท่านบอกอย่ารบกวนเลย เดี๋ยวจะให้คุณหญิงไปเอา ด้วยความที่คิดว่า สามโมง คือ บ่ายสามโมง การที่ผู้ใหญ่จะมาหา แล้วเอายาไปให้ผู้หลักผู้ใหญ่นั้น เราต้องมีข้อมูลที่แน่นจริง ดังนั้น ดร.อานนท์จึงเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องมากมาย แล้วก็พยายามที่จะพิมพ์ออกมาให้ทันก่อนคุณหญิงจะมา ปรากฎว่า เครื่องพิมพ์เสียกระทันหัน ประกอบกับคิดว่า คุณหญิงจะมาตอนบ่าย เลยขับรถไปที่เซียร์แต่เช้า เพื่อเอาเครื่องพิมพ์ไปซ่อม แล้วก็ดันไปเจอร้านลูกศิษย์เสียอีก แกก็คุยๆๆๆๆอยู่นั่น พอ 9 โมงตรง ปรากฎว่า วันอาทิตย์ที่ 24 พ.ค 2552 คุณหญิงมารออยู่ที่ร้านแล้ว เลยให้คุณรวิพร พาคุณหญิงไปรอที่ซอยไอยรา 38 ก่อน แล้ว ดร.อานนท์ก็รีบขับรถกลับมาเพื่อพบกับคณะของคุณหญิง เมื่อได้คุยกันพอสังเขปและทราบว่า ท่านอดีตนายกมีอาการน่าเป็นห่วงมากแล้ว ทานอาหารไม่ได้แล้ว นอนก็ไม่ได้ ท้องร่วงตลอดเวลา ท่านเองก็คงทรมานมาก ทำให้คนทั้งครอบครัวทรมานตามท่านไปหมด ลิ้นของท่านไม่รับรสแล้ว ในส่วนของตับนั้น คณะแพทย์ได้กระซิบบอกคุณหญิงว่า เลือดออกมาก เป็นอาการสุดท้ายจริงๆแล้ว แต่ท่านก็ยังมีสติสัมปชัญญะพูดคุยรู้เรื่องอยู่ จากนั้น ดร.อานนท์ ได้พาคณะของคุณหญิงไปดูเห็ดที่ใช้เป็นยา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เห็ดกระดุมบราซิล

ท่านเล่าให้ฟังว่าบังเอิญและเหลือเชื่อมาก อันเนื่องจาก คนขับรถของท่าน ที่ทำงานกับท่านมานานกว่า 32 ปี คนขับรถ ซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่ ที่ขับรถให้แก่ท่านมานานถึง 32 ปีแล้ว ขออนุญาตท่านว่า แม้ว่าตัวเขาเองทำงานอยู่กับท่านมานาน แต่ก็ไม่เคยแม้กระทั่งครั้งเดียวที่จะขออนุญาตหรือได้ขึ้นไปชั้นที่เป็นห้องพระขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่บนสุดของอาคาร คือ ชั้นที่ 4 แต่คราวนี้ คนขับรถมาขออนุญาตท่านว่า แกได้ไปหาพระที่เคารพนับถือ และได้คาถามา โดยพระได้สั่งไว้ว่า ขอให้เอาคาถานี้ไปสวดหน้าพระในห้องพระของท่าน 3 จบ แล้วขออธิฐานให้พบสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นกับท่านภายในเจ็ดวัน วันที่คนขับรถขออนุญาตนั้น คือวันที่ 22 พ.ค. 2552 แล้ววันที่ 23 พ.ค. 2552 ท่านก็ได้รับแฟกซ์จาก ดร.อานนท์  เอื้อตระกูล  คุณหญิงสุรัตน์ ได้กล่าวเสริมขึ้นมาว่า ท่านถือเอาแฟกซ์ของ ดร.อานนท์ กอดไว้บนหน้าอกตลอดเวลา (ยืนยันได้ว่า วันที่ได้คุยกับท่านนายกครั้งแรก ท่านก็บอกว่า ถือแฟกซ์ของ ดร.อานนท์ เอาไว้ตลอดเวลา)

ท่านได้รับแฟกซ์แนะนำตัวจากผม และความที่ผมมั่นใจว่า สูตรเห็ดเป็นยาที่ผมมีอยู่ น่าจะช่วยชีวิตท่านได้ ท่านบอกว่า พอท่านได้รับแฟกซ์ของผม ท่านเอาไปกอดไว้กับอกท่าน และท่านมีความหวังว่า ท่านจะต้องมีชีวิตรอดแน่ๆ แล้วท่านก็ส่งคุณหญิงมาเอาเห็ดเป็นยาไปให้ท่านทาน มื้อแรกที่ท่านทานไปนั้น ท่านมีความรู้สึกว่า น่าจะถูกยาแล้วล่ะ พอทานเข้าไปแล้ว ท่านมีความรู้สึกว่า ภายในตัว มันมีอะไรขบหรือกระตุ้นอยู่ทั่วร่างกายของท่าน และท่านก็เผลอหลับไป ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นหลับไม่ได้เลย ต้องทานยานอนหลับก็เอาไม่อยู่ คุณหญิงคุยเสริมว่า พอเห็นท่านหลับไป ทุกคนในบ้านต่างดีใจ และถอนหายใจด้วยความโล่งใจว่า ท่านจะต้องอยู่กับเราต่อไปได้อีก แล้วท่านก็บอกว่า ปาฎิหาริย์มันมีจริงๆ เมื่อท่านมีความรู้สึกว่า ระบบต่างๆของท่านเข้าที่เกือบปกติแล้ว ท่านจึงอยากเจอ ดร.อานนท์ และอยากเลี้ยงอาหารด้วยฝีมือของท่านเอง เพื่อเป็นกาารขอบคุณ ดร.อานนท์ ที่ช่วยชีวิตท่านขึ้นมาสามวัน ท่านมีความรู้สึกดีขึ้นในทุกด้าน หลังจากที่ท่านทานเห็ดเป็นยาไปเพียง 3 วัน อาการที่ทรุดหนักกลับดีวันดีคืน จนกระทั่ง ท่านมีความรู้สึกว่า ท่านดีเกือบปกติแล้ว ท่านจึงอยากเจอผม เพราะ ผมกับท่าน ไม่เคยเจอกันมาก่อน
วันที่ 7 กรกฎาคม 2552 ผมได้รับเชิญจากท่านนายกสมัคร ให้ไปทานอาหารร่วมกับครอบครัวท่าน ผมกับท่านไม่เคยเจอกันแบบตัวต่อตัวมาก่อนเลย เพียงแต่เมื่อผมมอบเห็ดเป็นยา ที่ผมผสมเป็นพิเศษให้แก่ท่าน ในการช่วยชีวิตท่านหลังจากที่คณะแพทย์ลงความเห็นว่า ไม่สามารถรักษาอาการมะเร็งขั้นสุดท้ายของท่านได้แล้ว และอนุญาตให้ท่านกลับไปพักผ่อนในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่บ้าน แต่ปาฏิหาริย์ก็ได้เกิด หลังจากที่ท่านทานเห็ดเป็นนยาสูตรที่ผมผสมให้ท่านเป็นกรณีพิเศษไป  ท่านจึงปรารถนาที่จะแสดงความขอบคุณ โดยท่านได้ลงมือเป็นคนลงมือปรุงอาหารเองกับครอบครัวของท่าน ในระหว่างที่ท่านในฐานะเจ้าบ้าน ท่านก็ได้กล่าวขอบคุณผม และท่านเล่าเหตุการณ์ต่างๆให้ผมฟัง เริ่มตั้งแต่ท่านสนใจเรื่องเห็ดมาตลอด และส่งคนมาขอถ่ายทำรายการทีวีเรื่องเห็ดที่ผมทำ เพื่อเอาไปประกอบในรายการชิมไปบ่นไป จวบจนมาถึงวันที่ท่านได้รับแฟกซ์ผม ท่านบอกว่า ท่านมีความหวังว่า ท่านจะต้องรอดชีวิตแน่นอน และก็รอดมาได้ราวปาฏิหาริย์ ดังนั้น ท่านบอกว่า เพื่อเป็นการขอบคุณและตอบแทนบุญคุณผม ท่านขอมอบของที่ระลึกให้ผม 3 อย่างคือ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวผมและขอให้ผมมีความสำเร็จในชีวิต

1.ท่านจึงมอบพระเลี่ยมทอง ที่เป็นพระที่ท่านเป็นประธานทำขึ้น พร้อมทั้งสร้อยคอทองคำ

2. หนังสือบันทึกอัตประวัติของท่าน ที่ท่านเตรียมทำไว้ตั้งแต่สมัยเป็นผู้ว่า กทม. เล่มสีน้ำเงินหนามาก

3.รูปถ่ายเต็มยศช่วงที่ท่านดำรงตำแหน่งสูงสุดในชีวิต คือ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ที่ถือว่า เป็นผู้บริหารสูงสุด รูปนี้ ถือว่า มีความสำคัญสุดๆสำหรับผม เพราะเป็นทั้งกำลังใจและความภาคภูมิใจของคนบ้านนอกคอกนาอย่างผม ที่ได้รับเกียรติและช่วยชีวิตมนุษย์ด้วยกันได้ แม้ว่า ผมไม่ใช่เทวดา แต่ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจอย่างแน่วแน่ โดยไม่ได้สนใจเรื่องของความแตกต่างในความเป็นมนุษย์

[envira-gallery id=”1483″]

นอกจากการเลี้ยงอาหารด้วยฝีมือท่านเอง ระหว่างครอบครัวของ ดร.อานนท์และญาติ ร่วมกับครอบครัวของท่านและญาติเช่นกัน จากนั้น ท่านก็ชวนขึ้นไปไหว้พระที่ห้องพระของท่าน โดยจะต้องเดินขึ้นไปชั้นที่ 4 ชั้นบนสุด โดยที่ท่านไม่ได้ขึ้นมานานพอสมควร เพราะต้องปีนบันไดขึ้นไป แต่คราวนี้ ทุกคนต่างแปลกใจที่ท่านเดินนำหน้า แล้วเดินขึ้นโดยไม่มีการหยุดเลยจนถึงชั้นที่ 4 จากนั้น ท่านก็พาเดินดูบรรยากาศทั่วบ้านท่าน รวมเวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมง 15 นาที แม้กระทั่งเวลากลับ ท่านก็ได้ให้เกียรติมาส่งจนถึงรถ

ผมก็ได้ให้เห็ดเป็นยาและเอ็นไซม์จากเห็ดให้ท่านทาน หลังจากนั้นอีกแค่สองวัน อาการของท่านดีขึ้น
ท่านได้พยายามติดต่อไปทาง อย. ที่อยากจะให้ทาง อย.เปิดโอกาสให้ผมเอาเห็ดเป็นยา ที่รักษาท่านดีขึ้น ให้เป็นสมบัติของคนไทย แต่ท่านบอกว่า ท่านพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ทำไม่ได้ ท่านจึงกำชับว่า
ขอให้จำไว้ว่า อย่าหยุดที่จะทำเห็ดเป็นยา เพราะยังมีคนที่มีปัญหา ที่หมดหวังจากการรักษาไม่ว่าจะเป็นแผนไหน แม้ว่า จะไม่มีโอกาสที่จะได้รับใบอนุญาตดังกล่าว แต่ก็อย่าหยุดช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกัน ขอให้จำไว้ตลอดว่า ในเมื่อเราไม่ได้ใช้ยาพิษ หรือใส่สิ่งที่เป็นพิษเข้าไป แล้วเห็ดที่เอามาทำเป็นยา ก็เป็นเห็ดที่ทานได้ทั่วไปอยู่แล้ว ท่านย้ำนักย้ำหนาว่า ขนาดตัวท่านเอง ยังทานเลย ขอให้ทำการผลิตเห็ดเป็นยาต่อ เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ชาติ แม้ว่า โลกทั้งโลก รู้ว่า เห็ดเป็นยามีมากมายหลายชนิด แต่คนที่จะรู้ว่า มีเห็ดเป็นยาอะไรใช้ผสมหรือเข้าสูตรอย่างไร จึงจะเหมาะสมนั้น ไม่สามารถทำได้โดยง่าย   หากไม่มีความรู้และไม่มีประสบการณ์ ซึ่งท่านถือว่า ทั้ง ดร.อานนท์ และ อ.เยาวนุช มีสิ่งนี้อยู่อันหาค่ามิได้    ดังนั้น ท่านได้ขอร้องให้จงทำต่อไป อย่าย่อท้อ แม้ว่า วันนี้ ทางราชการเขาอาจจะไม่เห็นถึงความสำคัญ แต่ขอให้จำไว้ว่า ตราบใด ที่เรามีความตั้งใจจริง และไม่ได้เอาอะไรที่เป็นพิษเข้าไปผสมอย่าย่อท้อ โดยเน้นว่า ขอให้ทำต่อๆไป

ประโยคพวกนี้ ทำให้เหมือนกับมนต์ทิพย์ที่ก้องอยู่ในส่วนประสาทของพวกเราตลอดเวลา และเราจะสืบทอดเจตนารมย์ของท่านตลอดไป

ทีนี้คำถามที่ตามมาว่า คนที่เป็นมะเร็ง รวมทั้งมะเร็งขั้นสุดท้ายนั้น ทานเห็ดเป็นยาแล้วจะตายไหม ตอบได้เลยว่า ตายนะตายแน่นอน เพียงแต่การทานเห็ดเป็นยาเข้าไปนั้น สารประกอบในเห็ด จะไปกระตุ้นให้ร่างกายทุกภาคส่วนสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถต่อสู้กับโรคภัยต่างๆที่เข้าไปบุกรุกในร่างกาย หรือแฝงอยู่ในร่างกาย อันได้แก่เซลมะเร็งด้วย ดังนั้น การที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาอย่างมีประสิทธิภาพนั้น จะทำให้ร่างกายต่อสู้กับโรคร้ายได้ หากเรารู้จักรักษาตัวเรา ดูแลตัวเราอย่างถูกต้องด้วย เช่น ผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ไม่ว่าจะทานยาต้านมะเร็ง ฉายแสง หรือฉีดคีโม รวมทั้งเห็ดเป็นยานั้น ไม่ได้หมายความว่า เราจะสามารถรักษาให้เซลมะเร็งหายขาดไปได้ มันก็ยังแฝงอยู่ในตัวผู้ป่วยอยู่ดี หากเราดูแลรักษาตัวเองได้ดี เซลมะเร็งก็จะพักตัว ไม่ลุกลามต่อไป แต่ส่วนใหญ่แล้ว คนที่เป็นโรคมะเร็ง เมื่อทำการวัดเลือดดูแล้ว มักจะขาดโปรตีนอัลบลูมิน หรือโปรตีนไข่ขาว แพทย์แผนปัจจุบัน จึงนิยมให้ผู้ป่วยทานโปรตีนเข้าไปทดแทน ส่วนใหญ่ แนะนำให้ทานโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่น โปรตีนจากปลา แท้ที่จริงแล้ว เซลมะเร็งที่แฝงอยู่ ที่ยังไม่ตาย แต่จะพักตัวอยู่ เมื่อไหร่ที่มีอาหารที่มันชอบ คือ โปรตีนที่ย่อยง่าย ก็เท่ากับการไปกระตุ้นให้เซลมะเร็งที่กำลังพักตัวหรือหลับอยู่ตื่นขึ้นมาระบาดและลามเข้าไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง จะต้องพิจารณาด้วยตนเองว่า การทานโปรตีนย่ยง่ายเข้าไป เท่ากับเป็นการเร่งให้มะเร็งลามได้ง่าย และโอกาสที่จะตายก็เร็วยิ่งขึ้น ส่วนคนที่ฉีดยา ทานยา หรือทานเห็ดเป็นยาไปแล้ว หากต้องการมีชีวิตต่อไปอีกนาน ควรทานโปรตีนจากพืชเข้าไปเท่านั้น เช่น โปรตีนจากเห็ด ถั่วต่างๆ ส่วนผู้ป่วยที่ทานเห็ดเป็นยาเข้าไปแล้ว นอกจากจะช่วยยืดอายุผู้ป่วยให้มีชีวิตอยู่นานขึ้นแล้ว แม้ว่าจะต้องเสียชีวิต ผู้ป่วยจะจากไปอย่างไม่ทรมาน

การอาศัยหรือใช้ยาที่เป็นสารเคมี สารเดี่ยวเข้าไปรักษา หรือยับยั้งส่วนที่เราคิดว่ามันเป็นสาเหตุของโรคนั้น ผลที่ออกมา อาจจะเห็นผลทันที หรืออย่างรวดเร็ว แต่หากใช้ไปสักพัก หรือเข้าไปติดต่อกันนานๆ เจ้าสารเดี่ยว หรือสารบริสุทธิ์ ซึ่งยาส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็นอสูรกายต่อมา เพราะอาจจะไปทำลายเซลอื่น ทำให้มีผลข้างเคียงตามมามากมาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ผลที่สุดสารพัดโรคก็จะตามมา